วันจันทร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ภูมิปัญญาจากวรรณกรรม บทละครนอกเรื่อง “ สังข์ทอง ”

บทละครนอกเรื่อง “ สังข์ทอง ”
พระราชนิพนธ์ใน... พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ( รัชกาลที่ ๒ )
ประวัติที่มาของเรื่อง
สังข์ทองเป็นเรื่องที่ได้มาจาก “ สุวัณสังขชาดก ” ซึ่งเป็นนิทานเรื่องหนึ่งในปัญญาสชาดก
ของท้องถิ่น ในภาคเหนือและภาคใต้มีสถานที่ที่กล่าวถึงเนื้อเรื่องในสังข์ทองกล่าวคือเล่ากันว่า
เมืองทุ่งยั้ง เป็นเมืองท้าวสามนต์ ใกล้วัดมหาธาตุมีลานหินเป็นสนามตีคลีของพระสังข์ ส่วนในภาคใต้ เชื่อว่าเมืองตะกั่วป่าเป็นเมืองท้าวสามนต์ และเรียกภูเขาลูกหนึ่งว่า "เขาขมังม้า" เนื่องจากเมื่อพระสังข์ตีคลีชนะได้ขี่ม้าข้ามภูเขานั้นไป
บทละครพระราชนิพนธ์เรื่อง สังข์ทอง มี ๙ ตอน คือ
๑ . กำเนิดพระสังข์
๒. ถ่วงพระสังข์
๓. นางพันธุรัตเลี้ยงพระสังข์
๔. พระสังข์หนีนางพันธุรัต
๕. ท้าวสามนต์ให้ธิดาทั้งเจ็ดเลือกคู่
๖. พระสังข์ได้นางรจนา
๗. ท้าวสามนต์ให้ลูกเขยหาปลาหาเนื้อ
๘. พระสังข์ตีคลี
๙. ท้าวยศวิมลตามพระสังข์
ลักษณะคำประพันธ์
๑ เป็นกลอนบทละคร บทหนึ่งมี ๔ วรรค วรรคละ ๖ คำ หนึ่งบทมี ๒ บาท เรียกว่า บาทเอก
และบาทโท ๑ บาท เท่ากับ ๑ คำกลอน สัมผัสระหว่างวรรคไม่บังคับตายตัว
๒. คำขึ้นต้นบท กลอนบทละครมีคำขึ้นต้นหลายแบบ และคำขึ้นต้นนั้นไม่จำเป็นต้องมีจำนวน
เท่ากับวรรคสดับ อาจจะมีเพียง ๒ คำก็ได้ คำขึ้นต้นมีดังนี้
๒.๑ มาจะกล่าวบทไป มักใช้เมื่อขึ้นต้นเรื่อง หรือกล่าวถึงเรื่องแทรกเข้ามา
๒.๒ เมื่อนั้น ใช้สำหรับผู้มียศสูง หรือผู้เป็นใหญ่ในที่นั้นตามเนื้อเรื่อง เช่นกษัตริย์ ราชวงศ์
๒.๓ บัดนั้น ใช้ขึ้นต้นสำหรับผู้น้อยลงมา เช่น เสนา ไพร่พล
เรื่องย่อ “ สังข์ทอง ”
ท้าวยศวิมลมีมเหสีชื่อนางจันท์เทวีมีสนมเอกชื่อนางจันทา ไม่มีโอรสธิดา จึงบวงสรวงและรักษาศีลห้าเพื่อขอบุตร และประกาศแก่พระมเหสีและทางสนมว่าถ้าใครมีโอรสก็จะมอบเมืองให้ครอง อยู่มานางจันท์เทวีทรงครรภ์ เทวบุตรจุติมา เป็นพระโอรสของนาง แต่ประสูติมาเป็นหอยสังข์ นางจันทาเกิดความริษยา จึงติดสินบนโหรหลวงให้ทำนายว่าหอยสังข์จะทำให้บ้านเมืองเกิดความหายนะท้าวยศวิมลหลงเชื่อนางจันทา จึงเนรเทศนางจันท์เทวีและหอยสังข์ไปจากเมือง
นางจันท์เทวีพาหอยสังข์ไปอาศัยตายายช่าวไร่ ช่วยงานตายายเป็นเวลา ๕ ปี พระโอรส
ในหอยสังข์แอบออกมาช่วยทำงาน เช่น หุงหาอาหาร ไล่ไก่ไม่ให้จิกข้าว เมื่อนางจันท์เทวี
ทราบก็ทุบหอยสังข์เสีย พระสังข์เห็นเช่นนั้นก็ร้องไห้รำพัน และนางจันท์เทวีเลี้ยงพระสังข์มาด้วยความรัก ฝ่ายท้าวยศวิมลเศร้าพระทัย เพราะอาลัยอาวรณ์นางจันท์เทวีมาก
นางจันทาสังเกตเห็นงุ่นง่านใจกลัวจะไม่ได้เป็นใหญ่ จึงให้ยายเฒ่าสุเมธามาทำเสน่ห์ให้ท้าวยศวิมลหลงรักและทูลยุยงว่านางจันท์เทวีมีลูกชายมาอยู่ด้วยคนหนึ่งในป่าน่าจะเป็นลูกชู้ นำความเสื่อมเสียมาแก่ท้าวยศวิมล ให้ประหารพระสังข์เสีย ท้าวศวิมลหลงเชื่อ สั่งประหารพระโอรสของตนแต่ด้วยบุญญาธิทารกของพระสังข์ จะฆ่าอย่างไรพระสังข์ก็ไม่ตาย
เมื่อท้าวยศวิมลทรงทราบว่าพระโอรสมิใช่หอยสังข์แต่เป็นพระกุมารที่มีบุญญาธิการ ท้าวเธอก็จะให้รับพระโอรสและนางจันท์เทวีกลับวัง แต่ถูกนางจันทาทัดทานไว้ และในที่สุดนางจันทาเสนอให้เอาไปถ่วงน้ำจมหายไปต่อหน้าพระมารดา ด้วยบุญของพระสังข์ ถูกหินถ่วงจมลงไปตรงปล่องนาคาอันเป็นประตูสู่เมืองบาดาล พญานาคคือท้าวภุชงค์มาพบเห็นพระสังข์นอนสลบอยู่ จึงนำไปเลี้ยง แต่เห็นว่าจะเลี้ยงกันไม่สะดวกเพราะตนเป็นนาค จึงส่งพระสังข์ไปให้เพื่อนรักคือนางพันธุรัตเลี้ยงดู
นางพันธุรัตเป็นยักษ์ สามีเสียชีวิตแล้ว นางเลี้ยงพระสังข์ด้วยความรักอย่างจริงใจนางพันธุรัตและพี่เลี้ยงแปลงเป็นมนุษย์เลี้ยงพระสังข์มาจนอายุ ๑๕ ปี นางพันธุรัตห้ามขาดไม่ให้พระสังข์เข้าไปที่หวงห้ามแห่งหนึ่ง แต่วันหนึ่งเมื่อนางพันธุรัตไปหากินตามปกติ พระสังก็แอบเข้าไปที่นั่น ไปพบซากโครงกระดูกมนุษย์และสัตว์ใหญ่ เช่น ช้าง เสือ กวาง พบบ่อปิดบ่อหนึ่งเป็น บ่อเงิน อีกบ่อ เป็นบ่อทอง มีรูปเงาะ เกือกแก้วและไม้เท้า เมื่อลองสวมชุดเงาะและเกือกแก้วดูก็ สามารถเหาะไปมาได้ พระสังข์จึงวางแผนหลบหนีนางพันธุรัตเพื่อจะไปหาพระมารดา แล้ววันหนึ่งพระสังข์ก็ลงชุบตัวในบ่อทองแล้วสวมรูปเงาะจะเหาะหนีไป
นางพันธุรัตติดตามไป พระสังข์อธิษฐานไม่ให้นางพันธุรัตขึ้นไปได้ นางอ้อนวอนให้พระสังข์ลงมาหา แต่พระสังข์ไม่ยอมลงมา นางจึงเขียนมนต์เรียก เนื้อเรียกปลาไว้ให้ที่แผ่นศิลาเชิงเขา เรียกว่ามหาจินดามนต์ นางพันธุรัตร้องไห้อ้อนวอนพระสังข์จนทระทั่งอกแตกตายด้วยความอาลัยรักพระสังข์ ซึ่งขณะนั้นพระสังข์ก็สับสน ไม่เชื่อในคำของนาง พระสังข์ลงมาจัดการเรื่องศพพระมารดา โดยสั่งไพร่พลให้จัดการใส่พระเมรุ พระสังข์ก็ท่องมนต์ แล้วเหาะไปจนถึงเมืองท้าวสามนต์
ท้าวสามนต์มีธิดา ๗ นาง อยากจะให้นางทั้งเจ็ดมีคู่ เพื่อท้าวสามนต์จะได้ยกเมืองให้แก่เขยที่สามารถ มีปัญญาดี เป็นกษัตริย์ครองเมืองต่อไป พี่นางทั้งหกของนางรจนาเลือกได้เจ้าชายต่างเมืองเป็นสามี แต่รจนาธิดาองค์สุดท้องไม่เลือกใคร ท้าวสามนต์ให้ป่าวร้องชาวเมืองมาให้เลือกอีกหน รจนาไม่เลือก ในที่สุด ให้นำเจ้าเงาะมาให้เลือก ตั้งใจจะประชดนางรจนาที่ไม่เลือกใคร เลยนำเจ้าเงาะมาให้เลือก พระสังข์ในรูปเงาะเห็นนางรจนาก็พอใจในความงามของนาง จึงอธิษฐานให้นางเห็นรูปทองของพระองค์ซึ่งซ่อนอยู่ในรูปเงาะ รจนาได้เห็นรูปที่แท้จริงของพระสังข์ จึงเสี่ยงพวงมาลัยให้เจ้าเงาะ ท้าวสามนต์เสียใจมากจึงขับไล่นางรจนาให้ไปอยู่กับเจ้าเงาะที่ปลายนา
ท้าวสามนต์รู้สึกอับอายและเสียเกียรติอย่างมากที่รจนาได้เจ้าเงาะเป็นสามี จึงวางแผนคิดฆ่าเจ้าเงาะโดยให้เขยทั้ง ๗ คนไปหาปลามาคนละ ๑๐๐ ตัว ใครได้น้อยจะถูกฆ่า พระสังข์ร่ายมนต์เรียกปลามาชุมนุมกัน หกเขยจึงหาปลาไม่ได้เลย มาพบพระสังข์ก็สำคัญผิดว่าเป็นเทวดาจึงขอปลาพระสังข์จึงให้ปลาคนละ ๒ ตัวโดยขอแลกกับการเชือดปลายจมูก
ท้าวสามนตร์โกรธมากที่อุบายไม่เป็นผล จึงสั่งให้เขยทุกคนไปหาเนื้ออีก และก็เหมือนครั้งก่อน ด้วยเวทมนตร์ของพระสังข์ ฝูงเนื้อทรายทั้งหลายก็ไปชุมนุมอยู่กับพระสังข์ หกเขยได้เนื้อทรายไปคนละตัวโดยแลกกับการถูกเชือดใบหู
พระอินทร์รู้สึกว่าอาสน์ที่ประทับของพระองค์แข็งกระด้าง จึงส่องทิพยเนตรดูก็เห็นว่านางรจนามีความทุกข์เพราะเจ้าเงาะไม่ยอมถอดรูป ทำให้ต้องตกระกำลำบากและถูกท้าวสามนต์หาเหตุแกล้งอยู่เนืองๆ พระองค์จึงแปลงองค์ลงมาท้าตีคลีพนันเอาเมืองทับท้าวสามนต์ ท้าวสามนต์ให้หกเขย ไปตีคลีก็พ่ายแพ้ จึงจำใจไปอ้อนวอนเจ้าเงาะ เจ้าเงาะถอดรูปเป็นพระสังข์งดงามถูกใจท้าวสามนต์ ยิ่งได้ทราบว่าเป็นโอรสกษัตริย์ด้วยก็ยิ่งพอใจ พระสังข์ไปตีคลีได้ชัยชนะเพราะพระอินทร์แสร้งหย่อนอ่อนมือให้
พระอินทร์ไปเข้าฝันท้าวยศวิมลพระบิดาของพระสังข์เพื่อสั่งสอนให้รู้ดีรู้ชั่วและสั่งให้ไปรับนางจันท์เทวีเพื่อไปตามพระสังข์ ท้าวยศวิมลรับนางจันท์เทวีเดินทางไปตามพระสังข์ที่เมืองท้าวสามนต์ นางจันท์เทวีเข้าไปช่วยทำอาหารในฝ่ายที่ต้องทำอาหารถวายพระสังข์ นางนำชิ้นฟักมาแกะสลัก เป็นเรื่องราวชีวิตตั้งแต่หนหลังแล้วนำมาแกง พระสังข์เสวยแกงเห็นชิ้นฟักก็สงสัยจึงนำมาเรียงกันแล้วก็รู้เรื่องทั้งหมด ในที่สุดพ่อแม่ลูกก็ได้พบกันด้วยดี ท้าวยศวิมลขอโทษในความหลงผิดของตน และชวนกันกลับบ้านเมือง พระสังข์พารจนาไปด้วย บทละครนอกสังข์ทองฉบับพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยจบเรื่องแต่เพียงนี้
บทวิเคราะห์จากวรรณกรรม
๑. วิถีชีวิต
๑.๑ แบบชาววัง
• แต่ละเมืองมีกษัตริ์เป็นผู้ปกครอง แวดล้อมด้วยข้าทาสบริพาร เสนาบดี ทหาร โหร และต้องมีพระโอรสสืบราชสมบัติ
• กษัตริย์มีภรรยาได้หลายคน แต่เป็นมเหสีได้องค์เดียว
• การแต่งกายของสาวชาววัง ( พระธิดา ) ในงานพิธีมงคล เริ่มจากอาบน้ำขัดผิวด้วยขมิ้นใส่ส้มขาม ทาแป้งสารภี ใส่น้ำมันเกล้ามวยผม นุ่งผ้ายก ห่มสไบ มีผ้าคาดเอว ประดับคอด้วยเพชรพลอย เช่น
“ แต่งตัวตั้งใจจะให้งาม ขมิ้นใส่ส้มมะขามขัดสี
เสร็จพิธีชำระอินทรีย์ ทาแป้งสารภีรื่นรวย
กระจกตั้งคันฉ่องส่องเงา ผิวพรรณผมเผ้างามฉลวย
ใส่น้ำมันกันกวดกระหมวดมวย ผัดหน้าด้วยแป้งญวนเป็นนวลแตง
นุ่งผ้ายกอย่างต่างกัน ช่อช้นเชิงชายลายก้านแย่ง
สไบหน้าเจียระบาดตาดทองแดง เข็มขัดสายลายแทงประจำยาม
สร้อยนวมสวมสอดสังวาลวรรณ ตาบกุดั่นเรืองรองทองอร่าม
กำไลสวมเก้าคู่ดูงาม ใส่แหวนเพชรแวววามครามสอดชับ
ทรงกรอบพักตร์พรรณรายพรายแพรว กรรเจียกแก้วมณีสีสลับ
ใส่ตุ้มหูห้อยพลอยระยับ ครั้นเสร็จสรรพขึ้นเฝ้าท้าวไท ”
( ตอนท้าวสามนต์ให้ธิดาทั้งเจ็ดเลือกคู่ )
๑.๒ แบบชาวบ้าน
• ชาวบ้านปลูกกระท่อมอาศัยในป่า ดำรงชีพด้วยการทำไร่ ทำนา ปลูกพืชผัก เลื้ยงสัตว์ และค้าขาย
• เด็กชาวบ้านเล่นปั้นวัวปั้นควาย เป็นของเล่น
• การละเล่นของเด็กชาวบ้าน เช่น จ้องเต
“ พวกเด็กเด็กหยอกเย้าเข้ายุด อุตลุดล้อมหลังล้อมหน้า
แล้วชวนเล่นจ้องเตเฮฮา โห่ร้องฉาวฉ่านี่นั่น ”

๒. ความเชื่อ
๒.๑ ความเชื่อเรื่องโหราศาสตร์ เชื่อเกี่ยวกับความฝัน คำทำนาย โชคลาง
โดยเฉพาะในสังคมชาววัง ตัวอย่างเช่น ตอน ..กำเนิดพระสังข์
“ ฝันว่าอาทิตย์ฤทธิรงค์ ตกลงตรงพัตร์ข้างทักษิณ
ดาวน้อยพลอยค้างอยู่กลางดิน เราผินพักตร์ฉวยเอาด้วยพลัน
มือซ้ายได้ดวงดารา มือขวาคว้าได้สุริยฉัน
แล้วหายไปแต่พระสุริยัน ต่อโศกศัลย์ร่ำไรจึงได้คืน ”
๒.๒ ความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ เช่น ตอนที่นางจัทาทำเสน่ห์ยาแฝดแก่ท้าวยศวิมล
๒.๓ ความเชื่อเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ มีหลายฉากที่แสดงถึงความเป็นแฟนตาซี เหาะเหินเดินอากาศ ร่ายเวทมนต์จับฝูงปลา ตัวอย่างเช่น
“ ครั้นถึงจึงลงหยุดนั่ง ที่ร่มไทรใบบังสุริย์ฉาน
ถอดเงาะซ่อนเสียมิทันนาน แล้วโอมอ่านมหาจินดามนต์
เดชะเวทวิเศษของมารดา ฝูงปลามาสิ้นทุกแห่งหน
เป็นหมู่หมู่มากมายในสายชล บ้างว่ายวนพ่นน้ำคล่ำไป ”
๒.๔ ความเชื่อเรื่องเวรกรรม ที่ครอบครัวพระสังข์ต้องพลัดพรากเพราะกรรมเก่าที่ทำมา ต้องหมดกรรมจึงจะได้อยู่พร้อมหน้าอย่างมีความสุข
“ ....................... เจ้าแก้วตาของพี่ผู้มีกรรม
เจ้าเคยพรากสัตว์ให้พลัดคู่ เวรมาชูชุบอุปถัมภ์
แม้นมีกรรมไม่ไปใช้กรรม ไพร่ฟ้ามันจะทำย่ำยี
มิใช่พี่ไม่รักน้อง ร่วมห้องอกสั่นกรรแสงศรี
ไม่ยับดับสูญบุญมี เคราะห์ดีสิ้นกรรมจะเห็นกัน ”
๒.๕ ความเชื่อเรื่องเทพยดา ว่าเป็นตัวแทนของความดี และสามารถช่วยคนดีให้พ้นภัยได้

๓. ประเพณี
๓.๑ การสืบราชสมบัติ กษัตริย์ต้องเป็นผู้ชายเท่านั้น
๓.๒ การหาคู่ ต้องหาคู่ครองที่ทัดเทียมกัน เช่น เจ้าหญิงต้องคู่กับเจ้าชาย
๓.๓ การเฉลิมฉลองรับขวัญลูก เช่น ฉากที่นางพันธุรัตรับขวัญพระสังข์เป็นบุตรบุญธรรม เป็นงานบายศรี และมีการแสดงต่าง ๆ อันประกอบด้วย งิ้ว โขน หนัง ลิเก ลำตัด ระบำ มวยปล้ำ เสภา ละครชาตรี มโหรี มอญรำ เช่น ตอน..นางพันธุรัตเลี้ยงพระสังข์
“ ฝ่ายเจ้าพนักงานการเล่น ทั้งมวยปล้ำรำเต้นถ้วนถี่
โขนละครไก่ป่าชาตรี เป่าปี่ตีกลองกึกก้องไป
หกคะเมนไล่ลวดกวดขัน เจ็ดคืนเจ็ดวันหวั่นไหว
ครั้นราตรีมีดอกไม้ไฟ หนังจีนหนังไทยดอกไม้กล
อีกทั้งครึ่งท่อนมอญรำ จับระบำทำท่าโกลาหล
งิ้วง้าวฉาวแฉ่งแต่งตน เกลื่อนกล่นอื้ออึงคะนึงไป ”

๔. ค่านิยม
๔.๑ ความรักของพ่อแม่ มีปรากฏอยู่ตลอดทั้งเรื่อง ทั้งความรักของนางจันเทวีกับพระสังข์, นางพันธุรัตกับพระสังข์, ท้าวสามนต์กับธิดา
๔.๒ ความกตัญญู สอนให้รู้จักสำนึกบุญคุณของผู้เลี้ยงดูมา มีปรากฏอยู่หลายตอน ทั้งพระสังข์สำนึกบุญคุณแม่จันท์เทวี หรือแม่แต่แม่บุญธรรมอย่างนางพันธุรัต ตัวอย่างเช่น
“ โอ้ว่ามารดาของลูกเอ๋ย พระคุณเคยปกเกล้าเกศี
รักลูกผูกพันแสนทวี เลี้ยงมาไม่มีให้เคืองใจ
จะหาไหนได้เหมือนพระแม่เจ้า ดังมารดาเกิดเกล้าก็ว่าได้
สู้ติดตามมาด้วยอาลัย จนจำตายอยู่ในพนาวัน ”
( ตอน..นางพันธุรัตเลี้ยงพระสังข์ )

๕. ภูมิปัญญา
๕.๑ ภูมิปัญญาด้านสุภาษิตสอนใจ ได้ปรากฏสุภาษิตสอนใจไว้หลายเรื่องจากการได้อ่านบทพระราชนิพนธ์ ดังตัวอย่างเช่น
“ จะจัดแจงแต่งตามอารมณ์เรา เหมือนข่มเขาโคขืนให้กินหญ้า
กลัวเกลือกทั้งเจ็ดธิดา มันจะไม่เสน่หาก็มิรู้
ลางเนื้อชอบลางยาไม่ว่าได้ ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่
คำบุราณท่านว่าไว้เป็นครู พิเคราะห์ดูให้ต้องทำนองใน ”
( ตอน ..ท้าวสามนต์ให้ธิดาทั้งเจ็ดเลือกคู่ )
- ข่มเขาโคขืนให้กินหญ้า หมายถึง บังคับให้ต้องทำตามหน้าที่ สั่ง ขืนใจให้ทำ
- ลางเนื้อชอบลางยา หมายถึง ต่างคนต่างชอบ ต่างจิตต่างใจ ชอบในสิ่งที่ไม่เหมือนกัน
- เงาะถอดรูป เป็นสุภาษิตที่ได้แนวคิดจากเรื่อง “ สังข์ทอง ” หมายถึง การแปลงภาพลักษณ์ใหม่แล้วดูดีขึ้นกว่าเดิมมาก
- อย่าตัดสินคนจากรูปลักษณ์ภายนอก

จากการใช้สัญลักษณ์เป็นเจ้าเงาะอัปลักษณ์ ซึ่งผู้คนที่พบเห็นส่วนใหญ่รังเกียจ ดูถูก และเห็นเป็นตัวตลก เพียงแค่เห็นรูปลักษณ์ภายนอก
- คนดีตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ ไหม้ เช่น ตอนที่เสนาพยายามฆ่าพระสังข์อย่างไรก็ไม่ตาย
๕.๒ ภูมิปัญญาด้านศิลปะการฟ้อนรำ “ รจนาเสี่ยงพวงมาลัย ” เป็นเรื่องราวที่นำมาใช้ประกอบการฟ้อนรำ ที่ได้รับความนิยมแพร่หลาย
๕.๓ ภูมิปัญญาด้านกีฬา ได้แก่ กีฬาตีคลี ที่มีมาเนิ่นนานในประเทศไทย ตอนที่พระอินทร์ท้าพระสังข์ตีคลี ทำให้ต้องถอดรูปเงาะ
บทสรุป
บทพระราชนิพนธ์ “สังข์ทอง” ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เป็นบทละครนอกที่นำเสนอเรื่องราวชีวิตของคนในสังคมยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยผสมผสานความบันเทิง.ให้น่าติดตาม เช่น อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ความอิจฉาริษยา กิเลสมนุษย์ ไสยศาสตร์ และอารณ์ต่าง ๆ ทั้งโศกเศร้าเคล้าน้ำตา ตลกชวนหัว และฉากรักโรแมนติก อีกทั้งได้สอดแทรกคติสอนใจหลายแง่มุม สะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตทั้งชาววังและชาวบ้าน ให้เห็นถึงขนบธรรมเนียมประเพณี ค่านิยม ความเชื่อ และภูมิปัญญา ของยุคสมัยนั้นตามความเป็นจริง อันก่อให้เกิดประโยชน์ด้านการศึกษาวัฒนธรรมแก่ชนรุ่นหลัง ทั้งยังเต็มเปี่ยมด้วยคุณค่าในงานวรรณกรรม ถ่ายทอดเป็นบทกลอนอันไพเราะ ซาบซึ้งกินใจ และทำให้ผู้อ่านได้รับสุภาษิตสอนใจอันเป็นแง่คิดที่เป็นประโยชน์ต่อการดำรงชีวิต ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยไหน นับเป็นงานวรรณกรรมอันทรงคุณค่าอย่างยิ่ง ด้วยพระปรีชาสามารถของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๒ ที่เยาวชนรุ่นหลังควรศึกษาสืบทอดกันต่อไป

วันศุกร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2551

" มะยม เม็ดดินเผา " ภูมิปัญญาไทยช่วยลดภาวะโลกร้อน


ใครจะไปคาดคิดว่าจากจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ที่คิดพลิกผืนดินให้เป็นเงิน จากวัตถุดิบง่าย ๆ อย่างดิน ในเขตอำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี และวิถีชีวิตเรียบง่ายของชาวไร่อ้อยในพื้นที่ ซึ่งมีเวลาว่างมากมายจากการทำไร่อ้อย มาหารายได้พิเศษจากทรัพยากรและแรงงานในท้องถิ่น มาคิดค้นนวัตกรรมใหม่เพื่อการดูแลต้นไม้อย่างมีความสุข
คุณชิษณุ อำมสุทธิ์ ประธานกลุ่มชาวบ้าน อ.ท่ามะกา ได้แรงบันดาลใจจากการเคยทำงานในโรงแรม เห็นการจัดสวนไม้ประดับ ที่ตกแต่งหน้าดินให้เรียบร้อย สวยงาม ด้วยเม็ดกรวด หรือก้อนหิน แล้วแต่ความเหมาะสม ซึ่งทั้งกรวดและหินเป็นวัสดุที่เก็บความร้อนจากแสงแดด ไม่มีรูระบายอากาศในเนื้อของมัน จึงมีประโยชน์แค่เพียงคลุมหน้าดินไม่ให้ดินกระเด็นในเวลาที่รดน้ำต้นไม้ แต่มีข้อเสียตรงที่ว่าหากมีการตากแดดนาน ๆ มันก็จะอมความร้อน ซึ่จะทำให้รากเหี่ยวเฉาตายได้ อีกทั้งเป็นการปิดหน้าดินจนแน่นเกินไป ไม่สามารถระบายอากาศ ทั้งยังมีน้ำหนักมาก ไม่สะดวกในการเคลื่อนย้าย
ดังนั้น คุณชิษณุ จึงได้ทดลองดัดแปลง โดยใช้วัตถุดิบที่มีความเบา โปร่ง และมีสารอาหารที่สามารถหล่อเลี้ยงต้นไม้ได้อีก และเป็นวัตถุดิบที่หาง่าย โดยการนำดินมาผสมน้ำและปุ๋ยชีวภาพ ปั้นเป็นเม็ดรูปทรงต่าง ๆ แล้วนำไปเผา จนได้เป็นเม็ดดินเผา เพื่อการดูแลต้นไม้ ซึ่งมีคุณประโยชน์มากมายสำหรับการดูแลต้นไม้ในยุปัจจุบัน ที่ผู้คนเร่งรีบ บางทีก็ไม่ได้กลับบ้านหลายวัน แล้วต้นไม้ที่บ้านล่ะ จะมีชีวิตอยู่รอดได้อย่างไร
จากคุณสมบัติของ " มะยม เม็ดดินเผา " ทำให้การดูแลต้นไม่ง่ายขึ้น สะดวกยิ่งขึ้น ด้วยคุณสมบัติของการอุ้มน้ำได้ดี แถมมีปุ๋ยอยู่ในเนื้อดินเผา หากคุณไม่ได้รดน้ำหลายวัน มันก็ยังดูดน้ำที่ซึมอยู่ในเม็ดดินเผามาใช้ได้ วิธีใช้ก็ง่ายมาก เพียงนำเม็ดดินเผาไปแช่น้ำแล้วโรยปิดหน้าดินที่ปลูกต้นไม้อยู่ มันจะช่วยคลุมดิน ให้ดูสวบงาม ป้องกันฝนตกชะล้างหน้าดิน ช่วยอุ้มน้ำไว้ และมีปุ๋ให้ต้นไม้ใช้ได้อีกนาน
แม้แต่การปลูกไม้น้ำ ก็ไม่จำเป็นต้องใส่น้ำขังไว้ให้เป็นที่เพาะพันธุ์ยุง เพราะมันจะเก็บน้ำไว้ในเนื้อดิน สร้างความชุ่มชื้นได้สมำเสมอ เพียงแค่เติมน้ำเล็กน้อย ให้ดินดูดซับน้ำเข้าไป ก็จะช่วยหล่อเลี้ยงต้นไม่ได้อีกนาน
ที่สำคัญคือ เนื้อดินมีช่องระบายอากาศ ถ่ายเทได้ดี และ ไม่เก็บความร้อน ตลอดจนมันจะย่อยสลายไปเป็นปุ๋ย ซึ่งช่วยสร้างสภาวะแวดล้อมทางการเกษตรได้มีมาก
สำหรับผู้รักการตกแต่งไม้ประดับ ไม้น้ำ บอนไซ กล้วยไม้ กระบองเพชร หรือจะจัดแจกันดอไม้ให้อยู่ได้คงทน โดยการใส่เม็ดดินเผาลงไปในภาชนะที่ใช้ปลูก ไม่ว่าจะเป็นโถแก้วใส เซรามิก ถาดกระเบื้อง
ทั้งนี้ เม็ดมะยมดินเผา ทำให้ผู้รักต้นไม้ทุกระดับมีความสุขเพลิดเพลินในการได้ดูแลรักษา ตั้งแต่แจกัน กระถาง สวนประดับ สวนสาธารณะ และสวนป่า เป็นการทำให้คนหันมาสนใจปลูกต้นไม้กันมากขึ้น ช่วยลดภาวะโลกร้อนได้อย่างดี เพราะต่างประเมศก็สนใจนำเข้าเม็ดมะยมดินเผานี้ไปใช้เช่นกัน ทั้งสะดวกและมีประโยชน์อย่างยิ่ง จากความคิดปั้นดิน ก็สามารถนำพาให้ประเทศชาติพัฒนาเศรษฐกิจได้ ด้วยภูมิปัญญาไทย

ภูมิปัญญาไทย
“มะยม” เม็ดดินเผา
อ. ท่ามะกา จ. กาญจนบุรี

ภูมิปัญญาใหม่ จากแนวคิด “ พลิกดินให้เป็นเงิน ” นับเป็นนวัตกรรมใหม่ เพื่อการดูแลต้นไม้ เป็นการช่วยเก็บรักษาความชุ่มชื้นให้หน้าดิน
“ มะยม เม็ดดินเผา ” เป็นนวัตกรรมใหม่ที่ ช่วยแก้ปัญหาการดูแลต้นไม้ เช่น
ไม่อยู่บ้านหลายวันใครจะรดน้ำให้ต้นไม้ที่บ้าน หรือเวลารดน้ำแรง ๆ น้ำจะกระเซ็นออกมา รวมทั้งดินและปุ๋ยที่ใส่ไว้ก็จะกระเด็นออกมาจากโคนต้นไม้ทำให้หน้าดินแน่นและเป็นโพรง ต้องคอยหมั่นเติมดินและปุ๋ย ยิ่งถ้าเป็นโรงแรมหรือพื้นที่ที่ต้องการความสะอาดมาก ในบ้านที่ปูพรม ต้องมาทำความสะอาดกันทุกครั้งที่รดน้ำ เป็นการสิ้นเปลืองทั้งเงินและเวลา

ที่มาของเม็ดดินเผา
จากประสบการณ์การทำงานทางด้านการโรงแรมและการจัดสวน ทำให้ได้พบเห็นปัญหาเกี่ยวกับการดูรักษาต้นไม้ทั้งภายในและภายนอกอาคาร และจากวิถีชีวิตในบ้านพักอาศัยที่ จังหวัดกาญจนบุรี ที่ครอบครัวรักการปลูกต้นไม้เป็นชีวิตจิตใจ ของประธานกลุ่ม “ คุณชิษณุ อำมสุทธิ์ ” จึงเป็นแรงบันดาลใจและจุดเริ่มต้นให้คิดค้นและพัฒนาเม็ดดินเผาเพื่อการดูแลต้นไม้ขึ้น ประกอบกับการได้คลุกคลีกับชาวบ้านที่มาช่วยทำสวน และเห็นวิถีชีวิตของชาวบ้านในอำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี ทำให้เกิดความคิดที่จะรวมกลุ่มชาวบ้านในยามว่าง โดยเฉพาะแม่บ้าน มาร่วมกันใช้เวลาให้เกิดประโยชน์และสร้างรายได้เสริมให้แก่ชุมชน นอกเหนือจากการปลูกอ้อยเป็นอาชีพหลัก จึงได้รวบรวมแรงงานที่ยังมีเวลาว่าง อันได้แก่กลุ่มแม่บ้าน มาร่วมสร้างภูมิปัญญาจากวัตถุดิบที่มีอยู่ในพื้นที่ อันได้แก่ ดิน น้ำ และปุ๋ย มาสร้างรายได้ให้แก่กลุ่มแม่บ้านในเขตอำเภอท่ามะกาแห่งนี้
โดยเริ่มก่อตั้งกลุ่มครั้งแรกในปี พ.ศ. 254 4 มีสมาชิกในกลุ่มประมาณกว่า 400 คน

คุณสมบัติทั่วไปของเม็ดดินเผา
- อุ้มน้ำได้ดี และมีความพรุนในตัว
- มีความคงทนของโครงสร้างที่ดี
- อายุการใช้งานหลายปี ย่อยสลายได้
- ระบายอากาศได้ดีมาก
- ไม่ทำปฏิกิริยากับสารละลายธาตุอาหาร
- ไม่เป็นแหล่งสะสมของโรคและแมลง
- ทำการฆ่าเชื้อโรคและแมลงได้ง่าย
- ไม่มีคุณสมบัติในการแลกเปลี่ยนประจุ




คุณประโยชน์ของเม็ดดินเผา
เพียงแค่นำมะยมเม็ดดินเผา มาแช่น้ำ 5 นาที แล้วโรยให้ทั่วบริเวณโคนต้นไม้ หนา 1-2 นิ้ว มะยมเม็ดดินเผา จะทำหน้าที่เหมือนฟองน้ำ คอยซับน้ำจากฝนหรือน้ำที่ท่านรด ไว้แล้วค่อยๆคายความชุ่มชื้นออกมา ให้หน้าดินทำให้ดินไม้แห้ง ต้นไม้ไม่ตาย และยังเป็นการตกแต่งเพิ่มความสวยงามให้กับต้นไม้ และสามารถนำไปจัดแจกันแทน โอเอซีส และล้างกลับมาใช้ใหม่ได้ เหมาะกับต้นไม้ทุกประเภท ทั้งในและนอกอาคาร เช่น กล้วยไม้หรือกระบองเพชร สามารถใช้ร่วมกับปุ๋ยได้ทุกชนิด ไม่เป็นพิษกับพืชและสิ่งมีชีวิตทุกชนิด และ “ มะยม เม็ดดินเผา ” ยังสามารถย่อยได้เองตามธรรมชาติ โดยจะผสมปนไปในดินเป็นแร่ธาตุเพิ่มออกซิเจนให้รากไม้ มะยม เม็ดดินเผา เป็นสินค้า OTOP ภูมิปัญญาชาวบ้านจาก อ.มะกา จ.กาญจนบุรี

ขั้นตอนการผลิต
1. เตรียมดินเหนียวจากพื้นที่ใน อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี โดยมีส่วนผสมดังต่อไปนี้
- ดินเหนียวคัดพิ่เศษ
- ดินผสมสูตรพิเศษ
- ใบก้ามปู
- แกลบ
- ใยมะพร้าว
- น้ำ
- ปุ๋ยชีวภาพ
2. หมักทิ้งไว้ประมาณ 5 – 7 วัน แล้วนำส่งให้ชาวบ้านปั้น ตามขนาดและรูปทรงที่ต้องการ ซึ่งแบ่งออกเป็น ทรงกลม , ทรงสี่เหลี่ยมลูกเต๋า , แบบแท่ง และแบบธรรมชาติ ( Free Form ) โดยมี 3 ขนาด คือ size S , M และ L ( ดังรายละเอียดตามตารางหน้าถัดไป )
3. ตากให้แห้ง ใช้เวลาประมาณ 2 – 3 วัน
4. เผาด้วยอุณหภูมิ 600 – 900 องศาฟาเรนไฮต์ เป็นเวลา 5 – 7 วัน
5. คลุกด้วยส่วนผสมปุ๋ยชีวภาพ แล้วตากให้แห้ง
6. บรรจุถุง


วิธีใช้สำหรับต้นไม้ทั่วไป
- นำมะยมเม็ดดินเผาแช่น้ำประมาณ 5-10 นาที
- โรยทับหน้าดินในกระถางหรือโคนต้นไม้ที่ต้องการ
- โรยหนาประมาณ 1-2 นิ้ว เพื่อปิดหน้าดินให้ทั่ว




วิธีใช้สำาหรับไม้น้ำ แจกัน หรือตู้ปลา



- สำหรับไม้น้ำและแจกัน ล้างมะยมเม็ดดินเผา 2-3 น้ำก่อนใช้ เพื่อช่วยไม่ให้น้ำขุ่น
- สำหรับตู้ปลา นำมะยมเม็ดดินเผาแช่น้ำทิ้งไว้ประมาณ 2-3 วัน แล้วล้างน้ำออก จึง
นำไปใส่ในตู้ปลา

กำลังการผลิต
- แบบกลม 10 ตัน/เดือน
- แบบเหลี่ยม 10 ตัน/เดือน
- แบบแท่ง 10 ตัน/เดือน
- แบบธรรมชาติ 50 ตัน/เดือน


เกียรติคุณ
- ประกาศนียบัตรการคัดสรรผลิตภัณฑ์ ตามโครงการคัดสรรสุดยอดหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย
- ได้รับรองเป็นสินค้าขึ้นทะเบียน OTOP ของ จ.กาญจนบุรี
- วุฒิบัตรผลิตภัณฑ์ตำบลดีเด่น จากรายการสายตรง อบต.ช่อง 3
- ประกาศนียบัตร รับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนของสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม เลขที่ 20440-138/46

บทวิเคราะห์

หากเราปล่อยบริหารเวลาในวันหนึ่ง ๆ ที่พอเหลืออยู่ มาศึกษาหาคุณค่าจากทรัพยากรที่มีอยู่แล้วในท้องถิ่น มาสร้างคุณค่าเพิ่มเติมให้เกิดมูลค่าอันเป็นประโยชน์ทั้งในแง่เศรษฐกิจและคุณภาพชีวิต ด้วยการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ จากภูมิปัญญาของคนในท้องถิ่น ปลุกกะรแสคนในท้องถิ่นให้ตื่นตัวและเห็นคุณค่าของสินทรัพย์ที่มีในท้องถิ่นตน ดังเช่นที่คุณชิษณุ อำมสุทธิ์ หนึ่งในชาวล้านอำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี ประธานกลุ่มซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่หัวก้าวหน้าที่ไม่ยอมปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ ผู้เล็งเห็นถึงโอกาสในการนำเอาเวลาที่เหลืออยู่ของคนในชุมชน ได้พยายามคิดค้น ศึกษา และทดลอง เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีคุณค่าแก่ท้องถิ่นและสังคมส่วนรวม ในการร่วมอนุรักษ์ดูแลต้นไม้ สวนประดิษฐ์ สำหรับคนรักธรรมชาติทั้งหลาย
มะยม เม็ดดินเผา จึงจัดว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าแก่สังคมในวงกว้าง ที่จะร่วมกันปลูกต้นไม้ ดูแลรักษาให้สวยงามและยั่งยืนคงทนนาน เพราะไม่เพียงแค่รายได้ที่สะท้อนกลับมาสู่ชุมชนเท่านั้น หากยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยโลกในภาวะที่เรารณรงค์โลกร้อน ส่งเสริมให้ผู้คนสนใจปลูกและดูแลต้นไม้เพื่อความสวยงาม เพลิดเพลิน และช่วยลดภาวะโลกร้อนได้อย่างมหาศาล หากผู้คนตื่นตัวหันมาสนใจการปลูกต้นไม้เพื่อความสวยงามกันมากขึ้น โดยมีนวัตกรรมใหม่ที่ช่วยดูแลรักษาต้นไม้ที่เป็นประโยชน์และสะดวกใช้ในชีวิตประจำวัน นับตั้งแต่ แจกันดอกไม้ , ต้นไม้ในบ้าน , สวนสาธารณะ , ไม้ประดับในโรงแรม ตลอดจนสวนป่าขนาดใหญ่
จากความรู้และประสบการณ์ในด้านการตลาดของคุณชิษณุ จึงได้พยายามผลักดันผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น ให้ออกสู่ท้องตลาดสากล ตั้งแต่การใช้ในท้องถิ่น , การส่งไปขายในพื้นที่ใกล้เคียง , การทำศูนย์กลางการขายอยู่ในกรุงเทพ ฯ , การหาตัวแทนขายทั่วประเทศ และการส่งออกไปยังต่างประเทศ
โดยได้รับการกล่าวขานถึงคุณค่าของเม็ดดินเผานี้อย่างแพร่หลาย จนมีโอกาสได้เป็นผู้ร่วมจัดแสดงผลงานในงาน “ มหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติ ” ที่จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อปี พ.ศ. 2549


คุณค่าของเม็ดดินเผา

การคิดค้นผลิตภัณฑ์ในการดูแลรักษาต้นไม้ด้วยเม็ดดินเผานี้ ได้สร้างคุณประโยชน์มากมาย โดยแต่เดิมได้เคยมีการใช้ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ในการดูแลรักษาหน้าดิน เช่น หิน ห้อนกรวด มาโรยหน้าดินเพื่อป้องกันหน้าดินกระเด็นในเวลารดน้ำต้นไม้ หรือฝนตก ซึ่งทั้งหินแลก้อนกรวดล้วนมีคุณสมบัติในการดูดเก็บความร้อนจากแสงอาทิตย์ หากเกิดความร้อนกับหน้าดินเป็นเวลานานจะทำให้รากต้นไม้ตายได้ และเป็นวัตถุดิบที่ไม่อาจกักเก็บน้ำได้ จึงไม่เกิดประโยชน์ในยามที่ไม่อาจรดน้ำต้นไม้ได้ทุกวัน อีกทั้งยังไม่มีสารอาหารให้แกต้นไม้ และไม่มีการระบายอากาศได้ ในกรณีที่โรยหินและกรวดมากเกินไปจนปิดหน้าดินทั้งหมด
คุณค่าที่เกิดจากภูมิปัญญาการผลิตเม็ดดินเผานี้มีอยู่มากมาย ทั้งคุณประโยชน์แก่ต้นไม้ ชุมชน ประเทศชาติ ( การส่งออก ) และสิ่งแวดล้อม โดยสามารถจำแนกออกได้ดังต่อไปนี้

1. การดูแลรักษาต้นไม้
- ตกแต่งหน้าดินเพื่อความสวยงาม โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ต้องการการตกแต่งสวนเพื่อความสวยงาม เช่น โรงแรม รีสอร์ท บ้านพักอาศัย การโรยเม็ดดินเผาบนหน้าดินเป็นการตกแต่งและรักษาความสะอาดหน้าดิน ในเวลารดน้ำต้นไม้ ป้องกันเศษดินกระเด็นกระจายออกมา

- เก็บความชุ่มชื้นและรักษาหน้าดิน โดยการปกคลุมหน้าดิน เป็นการป้องกันภาวะแสงแดดจัด ลมแรง ฝนตก ที่จะชะล้างหน้าดินได้

- ช่วยดูดซับน้ำและปุ๋ย โดยที่มีเม็ดดินเผามีคุณสมบัติในการดูดซับน้ำได้ดี เพราะผลิตจากดินและส่วนผสมชีวภาพ
- ใช้ปลูกกล้วยไม้ แทนกาบมะพร้าว ( ที่ช่วยอุ้มน้ำ )


- ใช้ปลูกไม้บอนไซและกระบองเพชร ( แทนหินกรวด )

- ใช้ปลูกไม้น้ำได้ทุกชนิด มีความสวยงามและมีสารอาหารให้ต้นไม้
- นำไปจัดแจกันได้อย่างสวยงาม



- ช่วยยืดอายุให้กับดอกไม้ในแจกัน เพราะมีสารอาหารหล่อเลี้ยง
- ลดการเกิดวัชพืชหน้าดิน

2. การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม
- การป้องกันการแพร่ยุงลาย เพราะสามารถอุ้มน้ำไว้ในเนื้อดินเผา จึงไม่ต้องปล่อยให้มีน้ำขังจำนวนมาก ในกรณีปลูกไม้น้ำ
- สามารถใช้ได้ในตู้ปลา หรือถังกรองบ่อปลา เพราะมีคุณสมบัติเบากว่าหินและกรวด ที่สำคัญคือไม่เก็บความร้อน
- ล้างและนำกลับมาใช้ใหม่ได้
- สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ เมื่อย่อยสลายแล้ว ยังช่วยเพิ่มออกซิเจนให้รากไม้ ทำให้ช่วยลดมลภาวะที่เป็นพิษ และช่วยสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี โดยเฉพาะในพื้นที่เกษตรกรรม


3. การสร้างวิถีชีวิตชุมชน
- สามารถสร้างงานและเพิ่มรายได้ให้แก่ชาวบ้านในเขตอำเภอท่ามะกา จังหวัด
กาญจนบุรี และพื้นที่ใกล้เคียง นอกเหนือไปจากอาชีหลักที่ส่วนใหญ่ปลูกอ้อย
และมีเวลาว่างพอที่จะประกอบอาชีพอื่น เป็นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์
และมีรายได้เพิ่มให้แก่ครอบครัว
- สร้างความสัมพันธ์ที่ดีให้ทุกคนในครอบครัว โดยทุกคนมีส่วนร่วมทำงานหลังภารกิจ
หลัก แรงงานชาวบ้านทั้งหมดจะทำงานปั้นเม็ดดินเผา โดยนำดินที่ผสมแล้วกลับ
ไปปั้นที่บ้าน บางทีลูกเด็กเล็กแดงเห็นผู้ใหญ่ทำอยู่ก็จะเข้ามาช่วยปั้นดินด้วย เป็นงาน
อดิเรกที่ทำได้เพลิดเพลิน นอกจากนี้ ในบางชุมชน ก็จะมานั่งทำร่วมกันในละแวก
บ้านใกล้เรือนเคียง เพื่อร่วมพูดคุยสนุกสนานในขณะที่ทำงานปั้นดินนี้ไปด้วย
และขยายไปสู่กลุ่มต่างๆที่ได้ทำงานร่วมกัน เพราะการทำอาชีพหลักเพียง
อย่างเดียวนั้นจะทำให้ชาวบ้านมีสังคมแบบปิด เป็นลักษณะการทำงานเฉพาะ
ในครอบครัวเดียว ต่างคนต่างทำงานให้พื้นที่ใครพื้นที่มัน แต่การรวมกลุ่มกัน
มาเป็นแรงงานปั้นเม็ดดินเผานี้ และร่วมเสนอแนะคิดในธุรกิจเดียวกัน ทำให้มีการพบปะกันระหว่างครอบครัวต่าง ๆ และคนอื่น ๆ ในพื้นที่ใกล้เคียงกัน เกิดเป็นสังคม
ใหม่ขึ้นมา ที่มีกิจกรรมร่วมกัน ( Community )
- สร้างคุณค่าแก่ผู้ด้อยโอกาส ทั้งคนแก่ผู้เฒ่าทั้งหลายที่เรี่ยวแรงกำลังวังชาถดถอย
และผู้พิการที่ยังมีมือมีแขน สามารถนั่งทำงานนี้ที่บ้านได้ เป็นการสร้างคุณค่าชีวิต
ให้แก่ผู้ด้อยโอกาสเหล่านี้ ที่ยังสามารถทำงานหารายได้ช่วยเหลือครอบครัวได้
- สร้างเสริมสุขภาพที่ดี เจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขที่เคยมาเยี่ยมชมกิจการที่นี่
ได้ให้ข้อสังเกตว่าการปั้นเม็ดดินเผานี้ ยังช่วยให้ได้บริหารข้อนิ้วมือให้แข็งแรงได้ดี
อีกวิธีหนึ่งด้วย

ทั้งนี้ หากการรวมกลุ่มของคนในพื้นที่ใกล้เคียงกัน มาร่วมทำกิจกรรมในยามว่าง ยังอาจจะสร้างวัฒนธรรมเฉพาะกลุ่มขึ้นได้ เช่น การละเล่น บทเพลง เป็นต้น แบบเดียวกับที่ชาวนาทำในเวลาเกี่ยวข้าวเช่นกัน หากสามารถสร้างความสัมพันธ์อันดีในกลุ่ม จะทำให้เกิดความเคยชินและอยากมาพบปะสังสรรค์ร่วมกิจกรรม ทั้งการช่วยกันทำงานและการสร้างสรรค์กิจกรรมอื่นภายในกลุ่ม อันเนื่องมาจากการใช้ภูมิปัญญาเป็นเครื่องนำพาให้เกิดชุมชนที่มีวัฒนธรรมเดียวกัน


ข้อเสนอแนะ


ด้วยระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี จากจุดเริ่มต้นจนถึงทุกวันนี้ มะยมเม็ดดินเผาได้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในบรรดาผู้รักการปลูกต้นไม้ทั้งที่บ้าน สวนสาธารณะ
สวนไม้ประดับในโรงแรมหรือรีสอร์ท รวมทั้งไม้ประดับเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างบอนไซ กระบองเพชร แจกันดอกไม้ต่าง ๆ ทำให้ต้องขยายกำลังผลิต และที่สำคัญคือการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีคุณค่าเพิ่มขึ้นตามความต้องการของผู้ใช้ ซึ่งแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม เช่น ผู้ออกแบบสวนประดับ , ผู้รักการปลูกต้นไม้ใหญ่ ไม้กระถาง ทั้งภายในและภายนอกสถานที่ ตลอดจนผู้ที่ชอบจัดแจกันดอกไม้หรือไม้ประดับภายในห้อง ทำให้ความต้องการของผู้ใช้ย่อมแตกต่างออกไปตามวัตถุประสงค์

ตัวอย่างเช่น ผู้ใช้ในการประดับตกแต่งแจกัน ย่อมต้องการเม็ดดินที่มีรูปทรงสวย แปลกตา เพื่อตกแต่งแจกันดอกไม้ให้สวยงาม ก็อาจจะมีการผลิตเม็ดดินเผาเป็นรูปทรงอื่น ๆ บ้าง เช่น รูปดาว เดือน พระจันทร์เสี้ยว ดอกไม้ ใบไม้ รูปปลา เป็นต้น หรืออาจมีการออกแบบรูปทรงพิเศษในช่วงเทศกาลต่าง ๆ ให้เกิดความน่านใจ เป็นสีสันของผลิตภัณฑ์ได้ เช่น การทำรูปทรงหัวใจ หรือดอกกุหลาบ เนื่องในวันวาเลนไทน์

ข้อสียของเม็ดมะยมดินเผาที่โรยบนหน้าดิน จะทำปฏิกริยากับน้ำ อาจมีตะไคร่น้ำเขียว ๆ ปรากฏบ้าง ซึ่งผู้เลี้ยงไม้ประดับบางคนอาจจะไม่ชอบ เพราะดูไม่สวยงาม น่าจะสามารถพัฒนาส่วนผสมในการป้องกันการเกิดตะไคร่น้ำ เช่น การเคลือบน้ำยาเคมีลงบนเม็ดดินเผา แต่ทั้งนี้ ต้องมีการทดลองคุณสมบัติในการป้องกันได้ด้วย
สิ่งสำคัญที่ควรคำนึงถึง คือ ทรัพยากรธรรมชาติที่นำมาใช้ในการผลิต โดยเฉพาะวัตถุดิบ อันได้แก่ “ ดิน” หากความต้องการสินค้าเพิ่มมากขึ้น กำลังการผลิตย่อมต้องสูงขึ้นตามไปด้วย จะทำอย่างไรในการอนุรักษ์ทรัพยากรดิน ให้มีพอใช้ไปได้ในระยะยาว ซึ่งต้องใช้การวางแผนในการนำดินมาใช้ พร้อม ๆ กับการรักษาดินในชุมชน หรืออาจต้องวางแผนในการจัดซื้อดินเพิ่มจากแหล่งท้องที่อื่น เพื่อมิให้มีการขุดดินในชุมชนมากเกินไปจนอาจมีผลต่อระบบนิเวศน์วิทยา เป็นการรักษาสมดุลย์ทางธรรมชาติไปด้วย

สรุป
จากความคิด “ พลิกดินให้เป็นเงิน” นำพาภูมิปัญญาของคนไทยให้แพร่หลายจากระดับท้องถิ่นไปสู่ระดับสากลได้ เพราะคุณประโยชน์มากมายที่เกิดขึ้นจากผลผลิต และกระแสสังคมทั่วโลกที่ต้องการการดูแลรักษาต้นไม้ คนหันมานิยมปลูกต้นไม้เป็นงานอดิเรกเพิ่มมากขึ้น และเป็นอุตสาหกรรมที่ช่วยลดภาวะโลกร้อนได้อย่างดี ด้วยคุณค่าของเม็ดดินเผานี้ นำมาซึ่งความสะดวกในการดูแลต้นไม้ทุกประเภท ทำให้การปลูกต้นไม้ให้สวยงาม ไม่ใช่เรื่องวุ่ยวาย ที่ต้องมีขั้นตอนซับซ้อนอีกต่อไป ที่สำคัญคือ เป็นการสาร้างรายได้สู่ท้องถิ่น ขยายผลถึงการส่งออกต่างประเทศ ช่วยพัฒนาเศรษฐิจทั้งครัวเรือนและในระดับประเทศ และสร้างชื่อสียงของภูมิปัญญาไทยที่สามารถคิด้นนวัตกรรมใหม่เพื่อช่วยสิ่งแวดล้อมของโลก ให้แพร่หลายไปสู่สากล

มะยม เม็ดดินเผา ได้รับความสนใจจากสื่อต่างๆ เช่น

􀂄 รายการวิทยุ SMEs Station คลื่น 107 MHz
􀂄 รายการโทรทัศน์ SMEs ชี้ช่องรวย ทางช่อง 11
􀂄 รายการโทรทัศน์ รายการสายตรง อบต. ทางช่อง 3
􀂄 หนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ คอลัมน์ SMEs
􀂄 นิตยสาร SMEs ชี้ช่องรวย
􀂄 นิตยสารตั้งตัว
􀂄 นิตยสารไม้ดอกไม้ประดับ
􀂄 หนังสือ Job Request
􀂄 Pocket Book ลู่ทางรวย

ผลิตและจัดจำหน่าย มะยมเม็ดดินเผา
77 หมู่4 ต.พระแท่น อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี 71130

สำนักงาน เลขที่ 7/109 หมู่บ้านศรีนครินทร์แกรนด์โฮม
ซ.สุภาพงษ์ 1 หนองบอน ประเวศ กทม. 10250
โทร.08-9779-1968

เวบไซต์ www.mayom.net






อมร อธิคมปัญญาวงศ์

วันอังคารที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ภูมิปัญญากับค่านิยม

การที่ประชาชนในประเทศสามารถใช้ภูมิปัญญาสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ เป็นเรืองที่ภาครัฐเหมือนจะสนับสนุน แต่มักไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลายนัก หรือไม่ก็เป็นข่าวในช่วงสั้น ๆ แล้วก็เงียบหายไป ไม่ได้รับการสานต่อเพื่อเผยแพร่ภูมิปัญญาที่เกิดจากฝีมือคนไทย ให้เป็นที่รู้จักและเกิดการยอมรับ เกิดกระแสสังคมในการภูมิใจที่คนในชาติสามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ ได้เช่นกัน
นั่นอาจจะหมายถึงการปลุกกระแสชาตินิยม ให้หันมานิยมสินค้าไทย ส่งเสริมภูมิปัญญาคนไทย หรือที่เคยเกิดกระแส Made in Thailand ในช่วงระยะเวลาหนึ่งที่ผ่านไปแล้วเงียบหายไปอีกเช่นเคย ปล่อยให้วัฒนธรรมต่างชาติเกิดขึ้นมาอยู่ร่ำไป โดยเฉพาะในยุคที่วัยรุ่นไทยคลั่งวัฒนธรรมเกาหลี ซึ่งเพิ่งเกิดกระแสนี้มาในช่วงหลังนี้เอง ( โดยเฉพาะกระแสจากซีรี่ส์เรื่อง " แดจังกึม " และซีรี่ส์วัยรุ่นเกาหลี ) ซึ่งวัยรุ่นไทย Absorb ได้รวดเร็วมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เกิดจากการเผยแพร่ทางสื่อทีวีที่แพร่หลายในวงกว้าง ทำให้เรารู้จักวัฒนธรรมและภูมิปัญญาของเกาหลีได้ดี ทั้งในอดีตและปัจจุบัน เช่น การทำอาหาร การแต่งตัว วิถีชีวิต เป็นต้น
ถึงแม้ว่าภาครัฐบาล และสื่อมวลชนไทย จะพยายามเผยแพร่ สร้างข่าวขี้น ก็แค่เป็นข่าวในช่วงสั้น ๆ เช่น นักศึกษาอาชีวะผลิตกังหันวิดน้ำเพื่อการเกษตรได้ , ผลิตหุ่นยนต์ หลังจากนั้นก็ไม่มีการเผยแร่หรือสร้างกระแสให้เกิดขึ้นต่อเนื่อง
ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะความเชื่อ ( ที่พิสูจน์ได้ ) ว่าเทคโนโลยีของไทยไม่ทันสมัยเท่าฝรั่งหรือญี่ปุ่นหรือเกาหลี รวมทั้งค่านิยมในหม่วัยรุ่นและหนุ่มสาวทั้งหลายที่คิดว่าการใช้ของไทยเป็นเรื่องเชย แก่ ไม่ทันสมัย ซึ่งสืบเนื่องมาจากเราได้ซึมซับวัฒนธรรมต่างชาติ และมีค่านิยมที่จะเลียนแบบหรือเสพตาม
ดังนั้น ภูมปัญญาไทยจึงไม่อาจได้รับการแพร่หลาย อย่าว่าแต่ระดับนานาชาติเลย เพียงแค่ในประเทศเองก็ยังไม่ได้รับการยอมรับเท่าที่ควร นี่จึงเป็นการสวนทางกันระหว่างการส่งเสริมการสร้างภูมิปัญญาไทย กับค่านิยมสินค้าต่างชาติ ที่เกิดขึ้นในบ้านเรามาเนิ่นนาน

................โดย ....อมร อธิคมปัญญาวงศ์ ( 6 ส.ค. 51 )